ร่วมเติบโตไปด้วยกันสู่โลกที่ยั่งยืน

เอสซีจีตระหนักดีว่าการเปลี่ยนแปลงในสังคมปัจจุบันทั้งด้านนโยบายระหว่างประเทศ นโยบายภาครัฐ เทคโนโลยีสะอาดและดิจิทัลซึ่งมาแทนที่เทคโนโลยีเดิม อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง หากไม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์ความวิกฤตที่ทวีความรุนแรงขึ้น อาจส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำในสังคมเพิ่มขึ้น การปรับตัวและพัฒนาของคนในสังคมให้ก้าวทันสอดรับกับบริบทที่เปลี่ยนไป จึงเป็นสิ่งสำคัญและความท้าทายในระดับประเทศที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการดูแลทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดความยั่งยืน

การเปลี่ยนผ่านยังต้องอาศัยการเปิดพื้นที่ให้กับแนวคิดใหม่ๆ ได้ทดลองและพัฒนาเป็นโซลูชันต้นแบบที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในทุกขั้นตอนตลอดห่วงโซ่คุณค่า อาทิ การปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำโดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้อย่างแพร่หลาย การใส่ใจสิ่งแวดล้อม และการให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตที่ดี เอสซีจีจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลและผู้มีส่วนได้เสีย ตั้งแต่พนักงาน คู่ค้า คู่ธุรกิจ ชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) บนพื้นฐานของการจัดการด้านสิทธิมนุษยชนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้พร้อมปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง รวมถึงพัฒนาทักษะทางอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและตลาดสีเขียวที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และสร้างความมั่นใจได้ว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนผ่านไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

50,000 คน
เอสซีจีมุ่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 50,000 คน ในปี 2573

  1. การพัฒนาศักยภาพของพนักงาน

เอสซีจีมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG เพื่อการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ในปี 2593 กุญแจสำคัญแห่งความสำเร็จ คือการเตรียมความพร้อมของบุคลากร โดยเร่งสร้างทักษะใหม่ เพิ่มพูนทักษะเดิม พร้อมสร้าง “องค์กรแห่งโอกาส” เปิดกว้างให้พนักงานได้แสดงศักยภาพและร่วมกันขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายที่กำหนด โดยพัฒนาพนักงานผ่านการอบรมด้านธุรกิจ ความเป็นผู้นำ และทักษะในอนาคตที่จำเป็นด้านต่างๆ ตลอดช่วงอายุงานผ่าน SCG Flagship Programs ที่ผนวกองค์ความรู้และตัวอย่างการปฏิบัติด้าน ESG เพื่อให้พนักงานมีความรู้ความตระหนักด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังพัฒนาหลักสูตรเฉพาะสำหรับ ESG ให้กับพนักงานทุกระดับ โดยมุ่งหวังให้การเรียนรู้ดังกล่าวสามารถสร้างผู้นำในองค์กรที่สอดคล้องตามทิศทาง Inclusive Green Growth

SCG Flagship Programs กับการพัฒนาพนักงานทุกระดับ

SCG Flagship Programs ได้รับการออกแบบมาให้ครอบคลุมการพัฒนาพนักงานเอสซีจีตลอดอายุงาน เริ่มตั้งแต่พนักงานเข้าใหม่ด้วยหลักสูตร Start Your New Career และ Ready Together เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมและทิศทางองค์กร การทำงานกับคนที่หลากหลาย มีความรู้เรื่อง ESG และ Inclusive Green Growth พนักงานบังคับบัญชามีหลักสูตร ABC (Abridge Business Concept) และ BCD (Business Concept Development) ซึ่งสอดแทรกเนื้อหา ESG in Actions เพื่อพัฒนาธุรกิจตามแนวทาง ESG และพนักงานระดับจัดการมีหลักสูตร MAP (Management Acceleration Program) MDP (Management Development Program) และ MEP (Management Enrichment Program) ให้ความรู้ ESG in Business พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเสริมสร้างภาวะผู้นำขององค์กร

ขณะที่หลักสูตรพนักงานระดับผู้บริหาร AMP (Advanced Management Program) เน้นการเข้าร่วมอบรมกับองค์กรระดับสากลเพื่อสร้างเครือข่ายและการเท่าทันกระแสของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

หลักสูตรด้าน ESG สำหรับพนักงานกลุ่มเป้าหมาย

ประกอบด้วยการจัดหลักสูตรภายในเอสซีจีและหลักสูตรจัดโดยองค์กรภายนอก ได้แก่

  • ESG Leadership Program จัดขึ้นเพื่อให้ความรู้ ESG in Actions สำหรับพนักงานที่มีศักยภาพสูง (Key Talent)
  • WBCSD Leadership Program จัดโดยสภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีผู้แทนพนักงานระดับจัดการเข้าร่วมอบรมเป็นประจำทุกปี
  • Climate Action Leaders Forum (CAL FORUM) จัดโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เวทีให้ผู้นำองค์กรชั้นนำแลกเปลี่ยนแนวคิด ประสบการณ์การจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยมีผู้บริหารระดับ C Level ร่วมอบรมเป็นประจำทุกปี

เป้าหมายองค์กรแห่งโอกาส

ความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานเทียบกับพนักงานทั้งหมด (ในประเทศไทย) เท่ากับ 4.0 จาก 5.0
100% พนักงานระดับสูงเข้าร่วมหลักสูตร Net Zero Accelerator Program (NZP) ครบ 100% ภายในปี 2570

นอกจากนี้ เอสซีจีสร้างการมีส่วนร่วมและปลูกฝังจิตสำนึกด้าน ESG ของพนักงาน โดยส่งเสริมผ่านการปลูกฝังพฤติกรรมในชีวิตประจำวันและการร่วมกิจกรรมของบริษัท โดยการบอกเล่าและกระตุ้นการมีส่วนร่วมผ่าน Application “ปันโอกาสทำดีทำได้ทุกวัน”

Start the Dot Program

เอสซีจีเปิดกว้างให้พนักงานได้ฉายแสง แสดงความสามารถสรรค์สร้างผลงานและผลลัพธ์เชิงบวกต่อองค์กรและธุรกิจ ผ่านโครงการ Start the Dot เปิดโอกาสให้พนักงานคิดค้นโครงการเพื่อรับการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเป็นธุรกิจใหม่ในรูปแบบของ Internal Startup

โครงการเริ่มจากนำเสนอแนวคิด (Moonshot Idea) ซึ่งพนักงานจะได้รับเข้าร่วม Boot Camp ได้รับความรู้เรื่องการพัฒนาโครงการ เช่น แนวคิดการออกแบบ โมเดลทางธุรกิจ แผนการตลาด ขั้นที่สองคือการทดสอบความเป็นไปได้ของโครงการ (Proof of Concept) โดยมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำ โครงการที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับทุนสนับสนุนเพื่อพัฒนาและดำเนินธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จ (Shoot for the Moon) โดยตั้งเป้าหมายให้ธุรกิจประสบผลสำเร็จภายในระยะเวลา 3-5 ปี

ปี 2567 มีโครงการที่ผ่านเข้าถึงรอบ Shoot for the Moon เช่น โครงการ Solar Franchise ซึ่งเป็นธุรกิจที่ช่วยส่งเสริมผู้รับเหมาก่อสร้างในต่างจังหวัดได้เข้ามาช่วยขยายตลาดการติดตั้ง Solar Rooftop โดยเอสซีจีช่วยสนับสนุนเทคโนโลยีและให้คำปรึกษา เพื่อให้การบริการลูกค้ามีคุณภาพในราคาที่แข่งขันได้

2. การพัฒนาศักยภาพของคู่ธุรกิจ

แน่นอน นี่คือข้อความที่จัดประโยคและการเว้นวรรคให้เหมาะสมยิ่งขึ้น:

นอกจาก การปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในกิจกรรมของเอสซีจีเองแล้ว การจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ จากคู่ธุรกิจ เพื่อนํามาใช้ในกิจกรรมของเอสซีจี ก็ถือเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งจากการขนส่งหรือกระบวนการผลิตสินค้าของคู่ธุรกิจที่เอสซีจีให้ความสําคัญในการบริหารจัดการ

เอสซีจีจึงมีนโยบายมุ่งพัฒนาศักยภาพของคู่ธุรกิจภายใต้โครงการ Supplier Decarbonization เพื่อเพิ่มศักยภาพและเตรียมความพร้อมให้คู่ธุรกิจของเอสซีจีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจการของตน ตามแนวคิด Inclusive Society ที่เอสซีจีมุ่งหวังสนับสนุนทุกฝ่ายให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

เอสซีจีเริ่มเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 ตั้งแต่ปี 2563 หลังจากนั้นได้เตรียมความพร้อมให้คู่ธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การจัดงาน Supplier Day ในปี 2565 และการจัดงาน Supplier Workshop ครั้งที่ 1 ในปี 2566 โดยเชิญคู่ธุรกิจจํานวน 12 รายเข้าร่วมงาน เพื่อเรียนรู้การคํานวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในปี 2567 เอสซีจีเน้นเก็บข้อมูลจากคู่ธุรกิจจํานวน 113 ราย ในหมวดหมู่วัตถุดิบ (Purchased Goods and Services) และเชื้อเพลิง (Fuel and Energy-Related Activities) ซึ่งมีบทบาทสําคัญในกระบวนการผลิตและส่งผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 โดยแบ่งกลุ่มคู่ธุรกิจออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ Strategic

Supplier คือกลุ่มที่มีความตระหนักเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองบ้างแล้ว จำนวน 20 ราย และกลุ่ม High Impact Supplier ซึ่งยังไม่เริ่มเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จำนวน 93 ราย โดยได้จัด In-depth Workshop ให้คู่ธุรกิจในกลุ่ม High Impact Supplier จำนวน 19 รายและมีแผนดำเนินงานต่อเนื่องในปี 2568 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องเก็บข้อมูลและการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สร้างความตระหนักเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ รวมทั้งการพัฒนาแผนการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกอย่างเหมาะสม

ทั้งนี้ประเด็นสำคัญในการสร้างความเข้าใจให้คู่ธุรกิจพร้อมเข้ามามีส่วนร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง คือ การเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นประโยชน์โดยตรงต่อธุรกิจ เนื่องจากสถานการณ์ที่ประเทศทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกำลังเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเพื่อตอบสนองต่อกฎระเบียบทางการค้าและการเปลี่ยนแปลงจากภาษีคาร์บอนที่อาจมีการประกาศใช้ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งคู่ธุรกิจและเอสซีจี

3. การพัฒนาศักยภาพของ SMEs

ภาคอุตสาหกรรมของไทยไม่ได้มีเพียงองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ยังรวมถึงผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กหรือ SMEs ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากและเป็นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ การขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำจึงเป็นไปได้ยากหากฟันเฟืองสำคัญอย่างกลุ่ม SMEs ไม่มี ความพร้อม ดังนั้น เอสซีจีจึงถือเป็นภารกิจในการแสวงหาความร่วมมือเพื่อเพิ่มศักยภาพของ SMEs ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก

ปี 2567 เอสซีจีจัดทำโครงการ Go Together : เติบโตด้วยกัน สู่โลกยั่งยืน โดยความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมเปิดบ้าน เอสซีจีให้กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมจังหวัดต่างๆ ได้เข้ามาร่วมศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อน แนวทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ การใช้พลังงานสะอาด การพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม การนำวัสดุเหลือใช้มาสร้างมูลค่า และการจัดการของเสียในอุตสาหกรรม จากองค์ความรู้และประสบการณ์ของเอสซีจี เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs ตามแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยในปี 2567 ได้จัดกิจกรรมรวม 8 ครั้งในพื้นที่ซึ่งมีโรงงานเอสซีจีตั้งอยู่ทุกภูมิภาค

ในช่วงการจัดกิจกรรมยังมีการออกบูธจากบริษัทผู้เชี่ยวชาญในเครือข่ายของเอสซีจี เพื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ เช่น Cleanergy : โซลูชันบริหารจัดการพลังงานสะอาด, AI Technology, Zycoda, REPCO NEX : การใช้ระบบ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด, EPS : เชี่ยวชาญด้านการลดต้นทุนพลังงาน การใช้เชื้อเพลิง BIOMASS, SCG BLC : ที่ปรึกษาแบบครบวงจร เพื่อช่วยให้ SMEs บรรลุเป้าหมายด้านคาร์บอนและ Net Zero อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสถาบันการเงิน เช่น SME D Bank, EXIM Bank ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการพัฒนาโครงการบริหารจัดการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้โครงการ Go Together : เติบโตด้วยกัน สู่โลกยั่งยืน มีกำหนดจัดต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ถึงกรกฎาคม 2568 โดยภายหลังวันจัดกิจกรรมแต่ละครั้งได้ให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมกลุ่มในแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อสามารถเข้าถึงคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญของเอสซีจี และได้แลกเปลี่ยนระหว่างผู้ประกอบการด้วยกัน เพื่อมุ่งหวังให้เกิดเป็นเครือข่ายความสัมพันธ์ของผู้ประกอบการ SMEs ที่ยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้เอสซีจียังดำเนินการติดตามและประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าผู้ประกอบการหลายรายนำความรู้ที่ได้รับไปปฏิบัติจนเห็นผล เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่โรงงานเพื่อช่วยลดต้นทุนพลังงาน การปรับปรุงระบบจัดการของเสียในโรงงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศษวัสดุเหลือใช้โดยนำมาใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิง ฯลฯ

1,200 คน ในปี 2568
เป้าหมายจำนวนผู้ประกอบการ SMEs เข้าร่วมโครงการจากทุกภูมิภาค

4. การพัฒนาศักยภาพของชุมชน

ชุมชนท้องถิ่นถือเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทย หากผู้คนและชุมชนไม่เข้มแข็ง ก็ยากยิ่งที่ประเทศจะพัฒนาไปข้างหน้า เอสซีจีจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของชุมชนผ่านโครงการต่างๆ ด้วยแนวคิด Inclusive Society เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน มุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทั้งด้านการศึกษา พัฒนาอาชีพ และด้านการแพทย์และสาธารณสุข ควบคู่กับการดูแลสังคม

โครงการทุนการศึกษา Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด

โครงการ Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด ดำเนินการโดยมูลนิธิเอสซีจี มุ่งให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนเพื่อให้มีงานทำเลี้ยงดูตัวเองได้ โดยการเรียนในสาขาวิชาซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดอาชีพ เช่น พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ หรือคนดูแลผู้สูงอายุ เนื่องจากประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย หรืออาชีพอื่นๆ เช่น นักกายอุปกรณ์

นอกจากการมอบทุนการศึกษาหลักสูตรวิชาชีพ หรือ Hard Skills แล้ว โครงการยังส่งเสริมความรู้ด้านทักษะชีวิต หรือ Soft Skills ให้แก่เยาวชนที่ได้รับทุนด้วย เช่น การสื่อสาร การทำงานร่วมกับผู้อื่น ความคิดสร้างสรรค์ การออมเงิน ฯลฯ รวมทั้งสนับสนุนการต่อยอดความสามารถของเยาวชนไทยผ่านเวทีประกวดแข่งขันในต่างประเทศ เช่น เยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานให้เข้าแข่งขัน WorldSkills Lyon 2024 ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งเปรียบเสมือนเวทีโอลิมปิกด้านทักษะอาชีพพระดับโลก

สำหรับในอนาคต มูลนิธิเอสซีจีมีแผนส่งเสริมแนะนำให้เยาวชนที่ขาดโอกาสมีอาชีพตามแนวคิด Learn to Earn

1,824 ทุน
มูลนิธิเอสซีจีมอบทุนการศึกษา ทักษะวิชาชีพ ด้านผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ นักบริบาลชุมชน และสายงานเทคโนโลยี แก่เยาวชน 924 คน

รางวัลเหรียญทอง
WorldSkills Lyon 2024

โครงการต้นกล้าชุมชน

มูลนิธิเอสซีจี ริเริ่มโครงการต้นกล้าชุมชนเมื่อปี 2557 มีเป้าหมายเพื่อสร้างเยาวชนและคนรุ่นใหม่ให้เป็นกำลังสำคัญในการดูแลและพัฒนาท้องถิ่นของตนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยการให้ทุนสนับสนุนคนรุ่นใหม่ทำโครงการพัฒนาสร้างประโยชน์แก่ชุมชนบ้านเกิด เช่น โครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ โครงการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นและศิลปวัฒนธรรม โครงการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โครงการส่งเสริมการศึกษา

72 คน 31 จังหวัด
เกิด “ต้นกล้าชุมชน” 7 รุ่น จำนวน 72 คน ซึ่งมาจาก 31 จังหวัดทั่วประเทศไทย

“โครงการชุมชนยั่งยืนใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”

คะนึงนิตย์ ชะนะโม

ต้นกล้าชุมชนรุ่นที่ 4 จังหวัดบุรีรัมย์ จัดตั้งศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง 9 ดี ชวนผู้สูงอายุมาเรียนรู้เรื่องการปลูกผักและทำเกษตรอินทรีย์สร้างอาชีพด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียงและขยายผลไปชุมชนอื่น ได้รับรางวัลประชากรหญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจ HER Awards โดย UNFPA กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ แห่งประเทศไทย ในปี 2567

รางวัล HER Awards

โครงการ “แพทย์ดิจิทัล ดูแลผู้ป่วยทางไกล”

“ความเหลื่อมล้ำของการให้บริการทางสุขภาพ” เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยในพื้นที่ชนบทห่างไกล เช่น ชุมชนบนดอยสูง พื้นที่ชายแดน ทำให้การเดินทางไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลของผู้ป่วย รวมถึงผู้ป่วยสูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง เป็นเรื่องยากลำบากและมีค่าใช้จ่ายสูง ส่งผลให้ผู้ป่วยหลายรายปฏิเสธการรักษา จนอาการของโรครุนแรงขึ้นกว่าเดิม

23 แห่ง
เครือข่ายโรงพยาบาลประจำอำเภอในโครงการมีจำนวน 23 แห่ง ทั่วประเทศไทย ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้

เอสซีจีจึงดำเนินโครงการ “แพทย์ดิจิทัล ดูแลผู้ป่วยทางไกล” เพื่อช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการทางสุขภาพด้วยนวัตกรรม DoCare ซึ่งเอสซีจีพัฒนาและทดลองใช้มาตั้งแต่ช่วงโรคระบาดโควิด-19 นวัตกรรม DoCare มีศักยภาพทั้งด้านการบริการแพทย์ทางไกล หรือ Telemedicine และการติดตามสุขภาพทางไกล หรือ Telemonitoring ประกอบด้วยการติดตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้โรงพยาบาลซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงข้อมูลและจัดชุดอุปกรณ์ DoCare ไว้ให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือสถานีสุขภาพในชุมชนโดยชุดอุปกรณ์จะเชื่อมต่อสัญญาณบลูทูธ เมื่อมีการวัดค่าสุขภาพ อุปกรณ์จะบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ

เข้าระบบติดตามสุขภาพ (Health Monitoring Dashboard) แบบ Real Time ซึ่งแพทย์ประจำโรงพยาบาลสามารถเห็นค่าสุขภาพ(Vital Signs)ของผู้ป่วยได้ทันทีและสามารถเรียกดูข้อมูลได้ตลอดเวลาผ่านทางคอมพิวเตอร์หรือหน้าจอโทรศัพท์เคลื่อนที่จากระบบ Web based : My Health World ซึ่งเป็นระบบเก็บข้อมูลของนวัตกรรม DoCare ประชาชนในชุมชนสามารถเดินทางมารับบริการได้สะดวก โดยมีเจ้าหน้าที่อนามัยหรืออาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) คอยดูแลคัดกรองสุขภาพในเบื้องต้น ผู้ป่วยสามารถปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลผ่านระบบวิดีโอคอล

สำหรับบางพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก เช่น ชุมชนบนภูเขาสูง เจ้าหน้าที่ อสม. จะนำชุดอุปกรณ์ DoCare ไปตรวจสุขภาพให้กับชาวบ้านถึงหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีบริการการตรวจรักษาผู้ต้องขังในเรือนจำผ่านระบบการแพทย์ทางไกล โดยโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา

โครงการ “แพทย์ดิจิทัล ดูแลผู้ป่วยทางไกล” เกิดจากความร่วมมือของเอสซีจีกับสถาบันพัฒนาระบบบริการสุขภาพองค์รวม (สพบ.) โรงพยาบาลประจำอำเภอ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ช่วยลดความแออัดของผู้ป่วยในโรงพยาบาล ทำให้แพทย์และเจ้าหน้าที่มีเวลามากขึ้นในการดูแลรักษาผู้ป่วยจนสามารถหายจากโรค ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายเพิ่มขึ้นอีก 10 แห่ง จากเดิม 13 แห่ง โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จำนวน 10 แห่ง

ในอนาคต เอสซีจีและเครือข่ายโรงพยาบาลตั้งเป้าว่าจะขยายโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการให้บริการทางสุขภาพของคนไทยให้เหลือน้อยที่สุด