SCG ได้ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว และมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำตามแนวทาง Inclusive Green Growth โดยขับเคลื่อนผ่าน การเป็นองค์กรที่มีความคล่องตัวและยืดหยุ่น พัฒนานวัตกรรมกรีน สร้างองค์กรแห่งโอกาส สร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และสะท้อนผลการดำเนินงานตามกลยุทธ์ ESG 4 Plus (มุ่ง Net Zero, Go Green, ลดเหลื่อมล้ำ, สร้างความร่วมมือ และเสริมสร้างความไว้วางใจและโปร่งใส)

เอสซีจีได้ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) เพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2593 โดยในปี 2564 ได้เข้าร่วมกับองค์กร Science Based Target initiative (SBTi) ซึ่งให้การรับรองหน่วยงานและธุรกิจต่างๆ ในการตั้งเป้าหมายดังกล่าวตามมาตรฐานการคำนวณทางวิทยาศาสตร์  ทั้งนี้ในปี 2566 เอสซีจีได้รับการรับรองจาก SBTi สำหรับเป้าหมายระยะใกล้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก GHG Scope 1 และ 2 ลง 25% ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2563 รวมทั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก GHG Scope 3 จากการขายเชื้อเพลิงฟอสซิลให้ลูกค้าภายนอกลงอย่างน้อย 25% ภายในปี 2574 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2564

การได้รับการรับรองจาก SBTi ถือเป็นก้าวสำคัญของเอสซีจีในการสร้างธุรกิจเพื่อสังคมสีเขียว แต่ยังคงมีความท้าทายอีกมาก ซึ่งจำเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ทั้งองค์กรระดับประเทศและระดับโลกขึ้น เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, World Business Council for Sustainable Development (WBCSD) , สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT), องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) เพื่อผนึกกำลัง “ร่วม-เร่ง-เปลี่ยน ไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ” โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง

เป้าหมายระยะใกล้ที่ผ่านการรับรองจาก SBTi

SCG ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขต 1 และ 2 ลง 25% ภายในปี ค.ศ. 2030 จากปีฐาน ค.ศ. 2020* และ SCG ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขต 3 จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ขายลง 25% จากปี ค.ศ. 2031 จากปีฐาน ค.ศ. 2021

* ขอบเขตของเป้าหมายครอบคลุมถึงการปล่อยจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ที่ดิน และการดึงกลับจากการใช้เชื้อเพลิงชีวมวล

การประกาศเป้าหมายใหม่ที่มีความเข้มข้นมากขึ้นนี้นับเป็นความท้าทายที่เอสซีจีต้องมุ่งคิดค้นและนำเทคโนโลยีใหม่มาช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและยั่งยืน (Technology for Energy Transition) ไปจนถึงการร่วมมือกับคู่ค้าและคู่ธุรกิจเพื่อแสวงหาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 3

SCG GHG Roadmap Towards 2050

Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD)  

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นหัวข้อสำคัญเป็น 1 ใน 3 ของกลยุทธ์ของ SCG โดยการนำ TCFD มาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจตั้งแต่ปี 2562 มีการทบทวนโครงสร้างขององค์กร ผลการดำเนินการ เช่น คณะกรรมการกำกับ กลยุทธ์ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน การจัดการความเสี่ยง และเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อระบุความเสี่ยง การประเมินความเสี่ยง และการจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

การกำกับดูแล (Governance) 

SCG นำ TCFD มาใช้เป็นกรอบในการกำกับดูแลการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่ระดับบริหารสูงสุด จนถึงระดับผู้ปฏิบัติงาน เช่น คณะกรรมการบริษัท (Board), President & CEO, คณะกรรมการพัฒนาอย่างยืน (Sustainable Development Committee; SDC), คณะกรรการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงาน (Climate Change & Energy Committee), คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Committee) และกลุ่มธุรกิจ  

  1. คณะกรรมการบริษัท (Board) เป็นผู้กำหนดและตัดสินใจทิศทางการดำเนินงานขององค์กร ที่รวมถึงประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และถ่ายทอดไปสู่ President & CEO  
  2. President & CEO เป็นผู้นำในการไปสู่เป้าหมายที่ท้าทาย ของทุกกลุ่มธุรกิจ ในการไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ การกำหนดเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว ที่สอดคล้องกับความตกลงปารีส และเป้าหมายของประเทศ (NDC) ที่ SCG มีธุรกิจอยู่ โดยการสนับสนุนการลงทุนและการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ เช่น ราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing; ICP) เพื่อให้โครงการด้านสิ่งแวดล้อม การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว  
  3. คณะกรรมการการพัฒนาอย่างยั่งยืน ให้ทิศทางการดำเนินงานระดับสากล, ESG, กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน การสร้างเครือข่าย เช่น WBCSD, UNGC, Ellen MacArthur Foundation, GCCA และการติดตามผลการดำเนินงานของ SCG เทียบกับระดับสากล  
  4. คณะกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงาน รับผิดชอบโดยตรงกับการดำเนินงานในการกำหนดกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แผนการไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero pathway) แผนรองรับความเสี่ยงในช่วงการเปลี่ยนถ่าย (Transition risk) และความเสี่ยงด้านกายภาพ (physical risk) แผนการปรับตัว การทำ R&D การสร้างความร่วมมือทั้งในระดับสากลและระดับประเทศเพื่อนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น  CCU/S, Energy storage, Hydrogen energy sources.  
  5. คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง รับผิดชอบในการสร้างระบบและวัฒนธรรมการประเมินความเสี่ยงและการจัดการที่จะมีผลกระทบต่อ SCG.  

กลยุทธ์หลัก (Strategy) 

SCG ได้ประเมินการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหัวข้อสำคัญกับองค์กร (materiality) คณะกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงาน ได้กำหนดกลยุทธ์การดำเนินงานที่สำคัญ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งในแผนระยะใกล้ (2030), ระยะกลาง (2040) และระยะยาว (2050) เพื่อมุ่งสู่ net zero 2050 

  1. การเติบโตด้านพลังงานสะอาด
  2. ลดการใช้พลังงานฟอสซิล
  3. ปรับปรุงและเปลี่ยนกระบวนการผลิต เครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 
  4. เพิ่มความต้องการทางการตลาดของสินค้าคาร์บอนต่ำให้สูงขึ้น
  5. การพัฒนาการวิจัยและเทคโนโลยีที่เร่งให้เกิดการลด การดูดกลับ และการกักเก็บก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่ net zero 
  6. การฟื้นฟูความสมบูรณ์ทางบกและทางทะเลเพื่อเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน
  7. สร้างความรู้ความตระหนักการอนุรักษ์พลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้กับพนักงาน คู่ธุรกิจ และผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องกับ SCG  
  8. ประยุกต์ใช้ราคาคาร์บอนภายในองค์กร (ICP) ที่ 25 USD/ton CO2 มาสนับสนุนโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ SCG  
  9. การเปลี่ยนแปลงด้านนโยบาย กฎ ระเบียบ และข้อบังคับเพื่อเร่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

SCG ได้สร้างระบบการชี้บ่ง (identify) การประเมิน(assess) ทั้ง transition risks และ physical risks โดย SCG พิจารณาเห็นว่ามีทั้งความเสี่ยงและโอกาส  

  • ความเสี่ยง (Risks) เช่น กฎหมาย ข้อกำหนดทางการค้า น้ำท่วม น้ำแล้ง ความต้องการของลูกค้า และความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย 
  • โอกาส (Opportunities) เช่น การสร้างเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (low carbon products) การลงทุนหรือธุรกิจใหม่ๆ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าชีวมวล การทำระบบการกักเก็บพลังงาน 

การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) 

SCG มีการกำหนดกระบวนการในการบ่งชี้ (identify) ประเมิน (assess) และการจัดการประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ ความเสี่ยงด้านกายภาพ (physical risks) ความเสี่ยงช่วงการเปลี่ยนถ่าย (transition risks) และแผนการปรับตัว (adaptation plan) ทั้งในช่วงปัจจุบัน ระยะกลางและระยะยาว ทั้งนี้ SCG ได้มีระบบการประเมินความเสี่ยงสำหรับทุกหน่วยบริษัท ให้มีการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วม น้ำแล้ง โดยให้มีการปะเมินอย่างน้อยไตรมาส หรือเมื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

Metrics and Targets  

SCG ได้มีการเปิดเผยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก scope 1&2 และ 3 ในรายงานประจำปี และบนเวปไซด์

เป้าหมาย

  • ภายในปี 2593 การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (scope 1&2)
  • ภายในปี 2573 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก scope 1&2 ลง 25% เทียบกับปีฐาน 2563
  • ภายในปี 2574 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก scope 3 จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ขายให้ลูกค้าภายนอกลง 25% เทียบกับปีฐาน 2564
  • ภายในปี 2568 ลดการใช้พลังงานลง 13% เทียบกับกรณีปกติ ณ ปีฐาน 2550

ผลการดำเนินการปี 2567 (Metric)

• ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก scope 1&2 ได้ 25.59% เทียบกับปีฐาน 2563

• ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก scope 3 จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ขายให้ลูกค้าภายนอกได้ 20.66% เทียบกับปีฐาน 2564

• ลดการใช้พลังงานได้ 7.91% เทียบกับกรณีปกติ ณ ปีฐาน 2550

• สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทน 28.59%

Green Logistics

SCGJWD มี Green Strategy เพื่อสร้างความยั่งยืนให้บริการด้านโลจิสติกส์ ทั้งต่อลูกค้า ชุมชน และคู่ธุรกิจขนส่งโดยใช้หลักการบริหารคือ Backhaul Logistics Operation บริหารรอบรถบรรทุกสินค้าไปและกลับ ลดการขนส่งเที่ยวเปล่า Multi-Modal บริหารการขนส่งสินค้าล็อตใหญ่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง เป็นต้น

SCGJWD มีเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงาน ดังนี้

• Net Zero ในปี พ.ศ. 2593

• ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ในปี 2570 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2566

• เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน  5% (ของพลังงานรวมทั้งหมด) เมื่อเทียบกับปีฐาน 2566

• ลดการใช้เชื้อเพลิงและพลังงานไฟฟ้าลง 5% (ของพลังงานรวมทั้งหมด) เมื่อเทียบกับปีฐาน 2566

SCGJWD มีโครงการการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Logistics Program) มีดังนี้

การใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า EV Truck เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงในการขนส่งได้ประมาณ 20,000 ลิตรต่อเดือน หรือ 210,000 ลิตรต่อปี และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 596 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

การใช้รถยกพลังงานไฟฟ้า EV Forklift และการใช้นวัตกรรม ASRS (Automated Storage Retrieval System) ในคลังสินค้า เพื่อทดแทนการใช้รถยกที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิง และช่วยจัดเก็บสินค้าแบบอัตโนมัติ สามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันเชื้เพลิงประมาณ 11,500 ลิตรต่อเดือน หรือ 138,000 ลิตรต่อปี และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 380 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และสามารถลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าในคลังสินค้าได้ประมาณ 580,000 กิโลวัตต์ต่อเดือน หรือ 6,900,000 กิโลวัตต์ต่อปี และสามารถการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 446 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

การจัดการรถขนส่งโครงการ Fleet Utilization รถขนส่งทุกคันมีการติด GPS และใช้ระบบซอฟแวร์ในการคำนวณเส้นทางการขนส่ง เพื่อให้ได้ระยะทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการขนส่ง

การติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในคลังสินค้าและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีแผนขยายการติดตั้งอย่างต่อเนื่อง

SCGJWD ให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยง จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยถือเป็นกลยุทธ์ในการดำเนินงานเพื่อปรับปรุง และเพิ่มความสามารถในการรับมือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่กับการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจที่ให้ความสำคัญอย่างรอบด้านในมิติ ESG โดยมุ่งเน้นการนำหลักการกำกับดูแลตามคำแนะนำของ Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD) มาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจโดยจะเริ่มใช้งานในปี 2567 เป็นต้นไป

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมจาก

https://www.scgjwd.com/services/logistics-supply-chain/logistics-infrastructure

นโยบายสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศของ SCGJWD

การบริหารจัดการความเสี่ยงของธุรกิจของ SCGJWD

เอกสารดาวน์โหลด